Skip to content

ADME

CTR

เรื่องที่ต้องรู้ของ CTR (click through rate)

CTR หรือ click through rate นั้นเป็นหนึ่งใน Metrics หรือตัวชี้วัดในการทำการตลาดออนไลน์ที่คนยิงแอด, กราฟิก ดีไซเนอร์ และคนเขียนคอนเทนต์ต้องรู้!! เพราะ ctr คือสิ่งที่สามารถบอกได้ว่าคอนเทนต์ที่เราได้ทำไปนั้นมันมีความน่าสนใจและดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้มากน้อยแค่ไหน และควรปรับปรุงการทำคอนเทนต์หรือไม่ ทั้งในด้านของการยิงแอด การทำกราฟิก และการเขียนคอนเทนต์นั้นเอง

โดยเจ้า click through rateหรือที่หลายคนมักเรียกสั้นๆ ว่า ctr คืออัตราของจำนวนการคลิกต่อจำนวนของการมองเห็น ซึ่งเป็นตัวชี้วัดในการดูความน่าสนใจของคอนเทนต์ทั้งภายในเว็บไซต์และโฆษณาต่างๆ ซึ่งclick through rate คือสิ่งที่จะนับอัตราของจำนวนคลิกต่อ 100 ครั้งที่คนมองเห็นโฆษณา โดยจะแสดงผลเป็นรูปแบบของเปอร์เซนต์ (%) หรือเรียกง่ายๆ คือการแสดงผลข้อมูลที่ว่าถ้ามี 100 คนเห็นโฆษณาและคอนเทนต์ต่าง ๆ ของเรา แล้วมีคลิกเกิดขึ้นกี่ครั้งจาก 100 คนนั้นนั่นเอง

แน่นอนว่าในการทำการตลาดออนไลน์มีสิ่งหนึ่งที่จะต้องคำนึงถึงนั่นคืองบประมาณในการผลิตชิ้นงาน โฆษณา หรือคอนเทนต์ที่ใช้ในการทำการตลาด ซึ่ง CTR จะเป็นสิ่งที่บอกเราได้ว่าสิ่งที่เราได้ลงทุนไปในราคาที่แตกต่างกันนั้น โฆษณาตัวไหนมีความคุ้มค่ามากที่สุด โฆษณาไหนที่มีคนให้ความสนใจมากที่สุด มีคนคลิกและเข้าชมมากที่สุดนั่นเอง นอกจากนี้การใช้การวัดผลที่แสดงอัตราของจำนวนการคลิกต่อจำนวนของการมองเห็นยังทำให้เรารู้ได้ว่าคอนเทนต์ กราฟิก และเนื้อหาโฆษณาต่าง ๆ ที่เราได้ปล่อยออกไปมี ตัวไหนควรปรับปรุงแก้ไขบ้าง เพื่อการทำการตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธฺภาพ และสามารถนำมาพัฒนาการทำการตลาดออนไลน์ได้ในอนาคตนั่นเอง

สรุปข้อดีของการวัดผลอัตราของจำนวนการคลิกต่อจำนวนของการมองเห็น

  •  CTR ทำให้รู้ว่าควรลงทุนกับโฆษณาชิ้นไหนและโฆษณาตัวไหนที่ปล่อยออกไปมีความคุ้มค่ามากที่สุด
  • ทำให้รู้ว่าควรปรับปรุงคอนเทนต์และกราฟิกชิ้นไหน และแบบไหนที่คนให้ความสนใจมากที่สุด
  • ทำให้สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมและความสนใจของกลุ่มเป้าหมายในขณะนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ทำให้สามารถวางแผนในการทำการตลาดออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นไปในอนาคต

ในการคำนวนการวัดผลอัตราของจำนวนการคลิกต่อจำนวนของการมองเห็นนั้น จะสาสมารถทำได้ด้วยการใช้สูตรง่ายๆ นั่นคือ

(จำนวนคลิก / จำนวนครั้งที่คนมองเห็นหรือ Impression ) x 100

= click through rate (%)  

 

ซึ่งในส่วนนี้ยิ่งผลลัพธ์นั้นมีค่ามากยิ่งดี เพราะ ctr คือการวัดผลอัตราของจำนวนการคลิกต่อจำนวนของการมองเห็น และถ้าหากมีเปอร์เซนต์ (%) มาก ก็แปลว่ามีคนคลิกโฆษณาของเราที่ได้ปล่อยออกไปเมื่อเทียบกับจำนวนคนที่มองเห็นมีจำนวนมากนั่นเอง

ตัวอย่างการคำนวณ CTR  

สำหรับการวัดผลด้วยอัตราของจำนวนการคลิกต่อจำนวนของการมองเห็นนั้นเราจะมานั่งดูแต่จำนวนคลิกอย่างเดียวไม่ได้ เพราะจำนวนคลิกที่ไม่ได้เทียบกับอะไรเลยนั้นไม่ใช่ทุกอย่าง สิ่งที่จะบอกผลลัพธ์ในการทำการตลาดออนไลน์นั้นมันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยมาก เช่น จำนวนเงินที่ใส่ลงไปเพื่อโปรโมทโฆษณาเป็นต้น โดยตัวอย่างก็คือ ถ้าสมมติว่า

นาย A

นาย B

ใส่เงินให้กับโฆษณา 100 บาท ได้จำนวนคนเห็นมาทั้งหมด 500 คนเห็นโฆษณา ได้คลิกมาทั้งหมด 10 คลิก

ใส่เงินให้กับโฆษณา 1000 บาท ได้จำนวนคนเห็นมาทั้งหมด 5000 คนเห็นโฆษณา และได้คลิกมาทั้งหมด 50 คลิก

 

จากกรณีด้านบนนั้นถ้าเราดูแต่จำนวนคลิกที่ได้ เราอาจจะรู้สึกว่าผลลัพธ์ในการโฆษณาของนาย B นั้นดีกว่านาย A เพราะได้มาตั้ง 50 คลิก แต่ที่จริงแล้วมันเป็นแบบนั้นจริงรึป่าวนะ ?

…คำตอบก็คือไม่จริงเสมอไป เพราะหากเราเปรียบเทียบ CTR กับจำนวนเงินที่ใช้ในการลงโฆษณาออกมา จะเห็นได้ว่า

โฆษณาของนาย A

CTR = (10/500)*100 = 2%

แสดงให้เห็นว่า ถ้ามีคนเห็นโฆษณาทั้งหมด 100 ครั้ง จะคลิกโฆษณาทะ้งหมด 2 ครั้ง

โฆษณาของนาย B

CTR = (50/5000)*100 = 1%

แสดงให้เห็นว่าถ้ามีคนเห็นโฆษณาทั้งหมด 100 ครั้ง จะคลิกโฆษณาเพียง 1 ครั้งเท่านั้น

 

เห็นได้เลยว่า ถ้าเราเปรียบเทียบแค่จำนวนคลิกอย่างเดียว เราจะวิเคราะห์ผิดไปหมดเลย เพราะเราคงจะเชื่อมั่นไปแล้วว่าโฆษณาของนาย B นั้นมีผลลัพธ์ที่ดีกว่า แต่ที่จริงแล้วเป็นนาย A ต่างหากที่ประสบความสำเร็จในการทำการตลาดออนไลน์มากกว่านาย B


เพราะฉะนั้นclick through rate คือสิ่งที่มักถูกนำมาใช้เพื่อพัฒนาแผนการตลาดออนไลน์และเป็นตัวชี้วัดที่บ่งบอกถึงความน่าสนใจ หรือวัดความเกี่ยวข้องของตัวโฆษณากับคนที่เห็นโฆษณานั่นเอง ซึ่งจะสามารถรวมถึงโปรโมชันที่ได้ลงในโฆษณา, ดีไซน์ของรูปภาพทั้งการออกแบบ สี และความแตกต่างของฟอนต์และข้อความประกอบรูปภาพ รวมไปจนถึงเป็นตัววัดของเนื้อหาในคอนเทนต์ว่ารูปแบบไหนที่ทำให้คนสนใจมากกว่ากัน

เมื่อรู้ถึงการคำนวนหาค่าของจำนวนการคลิกต่อจำนวนของการมองเห็นแล้ว ต่อมาเราจะมาบอกถึงประโยชน์ในการใช้งานที่แตกต่างกันไป ซึ่งประโยชน์ของ click through rate คือ

สำหรับ Social Media หรือ Google Display (GDN)

  • ctr คือสิ่งที่สามารถวัดประสิทธิภาพของความ Creative ความสร้างสรรค์ ของคอนเทนต์ที่ใช้ในการทำโฆษณา ทั้งในส่วนของการเขียน และการออกแบบกราฟิก
  • ใช้วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายว่าเรายิงถูกกลุ่มรึป่าว และกลุ่มที่เรายิงไปมีพฤติกรรมที่สอดคล้องกับเป้าหมายในการทำการตลาดออนไลน์ของเราหรือไม่ 
  • ใช้ทำ A/B Testing ว่ากลุ่มเป้าหมายเค้าสนใจที่จะคลิกโฆษณาในรูปแบบไหนมากกว่ากัน เพื่อใช้ในการพัฒนาการทำโฆษณาและทำให้การทำการตลาดในครั้งต่อไปมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอยู่เสมอ

 

สำหรับ Google Search (SEM)

  • click through rate คือสิ่งที่สามารถใช้ในการวัดประสิทธิภาพของ Ad Text ว่าตั้งแบบไหนคนถึงจะสนใจมากกว่ากัน เพื่อที่จะนำรูปแบบนั้นมาปรับปรงและใช้งานในครั้งต่อไป
  • วัด Relevancy ระหว่างคีย์เวิร์ดที่คนค้นหามา กับสิ่งที่พวกเขานั้นได้พบเจอบนโฆษณาเรา

เท่านี้ทุกคนก็คงจะเห็นถึงความสำคัญของการวัดผลด้วยตัวชี้วัดที่แสดงผลอย่างแม่นยำอย่างCTR กันแล้ว นักการตลาดออนไลน์ คนยิงแอด กราฟิก และคนเขียนคอนเทนต์ก็สามารถนำเอาการวัดผลด้วยclick through rate ไปปรับใช้ในการสร้างสรรค์โฆษณในรูปแบบต่างๆ ให้ดีมากยิ่งขึ้น เพราะclick through rate คือสิ่งที่สามารถบอกเราได้ว่าโฆษณาที่คุ้มค่าและน่าลงเงินคือโฆษณารูปแบบใด และ ctr คือสิ่งที่จะบอกถึงประสิทธิภาพของโฆษณาของเราที่ส่งผลต่อความสนใจของกลุ่มเป้าหมายได้นั่นเอง


..ADME อัปเดตความรู้การตลาดออนไลน์ และให้คำปรึกษาเพื่อการทำการตลาดออนไลน์ที่ดีกว่าที่เคย..