Skip to content
Voice Search คืออะไร?
Table of Contents

Voice Search เป็นความเปลี่ยนแปลงที่กำลังพลิกโฉมการทำคอนเทนต์

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีดิจิทัล Voice Search หรือการค้นหาด้วยเสียง กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีที่ผู้คนเข้าถึงข้อมูลออนไลน์ โดยเฉพาะ Google Voice Search ที่กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการค้นหาบนมือถือ ผ่านการพูดคำถามด้วยภาษาธรรมชาติแทนการพิมพ์ ส่งผลให้พฤติกรรมผู้ใช้งานและรูปแบบของคอนเทนต์เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน การทำ Voice Search SEO จึงมีความสำคัญอย่างมากสำหรับธุรกิจ เพราะการปรับเว็บไซต์และเนื้อหาให้รองรับ Google ค้นหาด้วยเสียง จะช่วยเพิ่มโอกาสให้คอนเทนต์ติดอันดับในผลการค้นหาและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

เพื่อให้คุณไม่พลาดโอกาสจากเทรนด์การค้นหาด้วยเสียง บทความนี้ ADME Media เอเจนซี่รับทำการตลาดออนไลน์ครบวงจร จะพาคุณไปรู้จักกับ Voice Search อย่างลึกซึ้ง พร้อมอัปเดตความสำคัญของเทคโนโลยีนี้ และแนวทางการปรับเว็บไซต์ให้พร้อมสำหรับการทำ Voice Search SEO อย่างมืออาชีพ

รู้จัก Voice Search เทคโนโลยีปฏิวัติ SEO สู่ยุคใหม่แห่งการค้นหา

รู้จัก Voice Search ยุคใหม่แห่งการค้นหา

Voice Search หรือการค้นหาด้วยเสียง คือเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถพูดคำค้นหาแทนการพิมพ์ ผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต หรือสมาร์ตลำโพงอย่าง Google Assistant, Siri และ Alexa เทคโนโลยีนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะตอบโจทย์การใช้งานที่ต้องการความรวดเร็วและสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นขณะขับรถ ทำอาหาร หรือเดินทาง เช่น การถามว่า “วันนี้ฝนจะตกไหม” หรือ “ร้านอาหารอิตาเลียนใกล้ฉัน” ระบบก็สามารถประมวลผลและแสดงผลได้ทันที โดยเฉพาะ Google Voice Search ที่กำลังกลายเป็นพฤติกรรมหลักของผู้ใช้งานยุคใหม่ทั่วโลก

เมื่อวิธีการค้นหากำลังเปลี่ยนจากการพิมพ์เป็นการพูด แนวทางการทำ SEO ก็ต้องปรับตัวตามไปด้วย นั่นคือที่มาของแนวคิด Voice Search SEO หรือการปรับเนื้อหาและเว็บไซต์ให้สอดรับกับพฤติกรรมการค้นหาด้วยเสียง เช่น การใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติ หรือการตั้งคำถามในแบบที่ผู้ใช้งานพูดจริงในชีวิตประจำวัน Google ค้นหาด้วยเสียง จึงไม่ใช่แค่ฟีเจอร์เสริมอีกต่อไป แต่เป็นโอกาสสำคัญที่ธุรกิจควรให้ความสำคัญ หากต้องการเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้นในยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยเสียง

ไขความลับ! Google Voice Search ทำงานยังไงถึงรู้ว่าเราพูดอะไร

เคยสงสัยไหมว่าแค่พูดว่า “ร้านอาหารใกล้ฉัน” หรือ “พยากรณ์อากาศวันนี้” ทำไม Google ถึงเข้าใจและแสดงผลได้อย่างแม่นยำ? คำตอบคือ เพราะเบื้องหลังของ Google Voice Search มีเทคโนโลยีอัจฉริยะและซับซ้อนคอยทำงานอยู่ตลอดเวลา และหากอยากรู้ว่า Google Voice Search ทำงานอย่างไร และทำไมเราควรทำความเข้าใจระบบนี้ ตาม ADME
ไปไขความลับของการค้นหาด้วยเสียงกัน

การทำงานของ Google Voice Search เป็นอย่างไร?

การค้นหาด้วยเสียง (Voice Search) เริ่มต้นเมื่อผู้ใช้พูดคำสั่งผ่านไมโครโฟนของอุปกรณ์ เช่น สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์สมาร์ตโฮม โดยเสียงพูดเหล่านั้นจะถูกแปลงเป็นข้อความด้วยเทคโนโลยี Automatic Speech Recognition (ASR) แล้วระบบจะใช้ AI และ Machine Learning วิเคราะห์เจตนาของผู้พูด ไม่ใช่แค่สิ่งที่พูดออกมา โดยอ้างอิงจากหลายปัจจัย เช่น ประวัติการค้นหา ตำแหน่งที่อยู่ (GPS) และรูปแบบของคำถาม 

ตัวอย่าง หากคุณพูดว่า “ร้านกาแฟเปิดตอนเช้าแถวนี้มีไหม” ระบบจะเข้าใจว่า:

  • “ร้านกาแฟ” = หมวดหมู่ของสถานที่
  • “เปิดตอนเช้า” = เวลาที่ต้องการ
  • “แถวนี้” = ตำแหน่งปัจจุบันของผู้ใช้


Google Voice Search จะประมวลผลและแสดงผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องแบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ทำให้การค้นหาด้วยเสียงแม่นยำ ตรงใจ และตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว

ทำไมต้องเข้าใจการทำงานของ Voice Search ในมุมมอง SEO?

การเข้าใจว่า Google Voice Search วิเคราะห์คำพูดอย่างไร จะช่วยให้เราวางแผน Voice Search SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น

  • เขียนคอนเทนต์ในรูปแบบคำถามที่คนมักพูดจริง
  • ใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติและเข้าใจง่าย
  • ปรับเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย รองรับมือถือ และโหลดเร็ว


ทั้งหมดนี้คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสปรากฏบนผลการค้นหาด้วยเสียงมากขึ้นในยุคที่ “พูด” แทน “พิมพ์” กำลังกลายเป็นพฤติกรรมหลักของผู้ใช้งาน

Voice Search สำคัญกับ SEO แค่ไหน? คำตอบที่นักการตลาดไม่ควรมองข้าม

เมื่อพฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ตเปลี่ยนไปสู่การใช้มือถือและอุปกรณ์อัจฉริยะมากขึ้น การค้นหาด้วยเสียงจึงกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน และไม่ใช่แค่การพูดแทนการพิมพ์เท่านั้น แต่ Voice Search กำลังเปลี่ยนวิธีการค้นหาโดยสิ้นเชิง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อกลยุทธ์ SEO แบบเดิมที่เราเคยใช้มา 

การเข้าใจบทบาทของ Google Voice Search และการปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับ Voice Search SEO  จึงเป็นสิ่งที่นักการตลาดและเจ้าของธุรกิจไม่ควรมองข้าม หากต้องการให้เว็บไซต์ยังคงติดอันดับและแข่งขันได้บนหน้าแสดงผลของ Google วันนี้ ADME เอเจนซี่ผู้เชี่ยวชาญด้านบริการรับทำ SEO จะพาคุณไปสำรวจว่าเหตุใดการค้นหาด้วยเสียงจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญของ SEO ในยุคนี้

1. ปริมาณการใช้งานที่เพิ่มขึ้น

ข้อมูลจากหลายแหล่งชี้ให้เห็นว่า จำนวนผู้ใช้งาน Google ค้นหาด้วยเสียงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้สมาร์ตโฟนและผู้ช่วยดิจิทัล (Digital Assistants) อย่าง Google Assistant ที่สามารถรับคำสั่งด้วยเสียงได้อย่างเต็มรูปแบบ เช่น

  • “ร้านอาหารเปิดตอนนี้ใกล้ฉัน”
  • “ทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ”
  • “ตั้งปลุกพรุ่งนี้ 7 โมงเช้า”


เมื่อพฤติกรรมเหล่านี้กลายเป็นเรื่องปกติ การทำ Voice Search SEO จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการปรับเว็บไซต์ให้รองรับคำค้นในรูปแบบภาษาพูด จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้น ๆ ในหน้าผลการค้นหา

2. พฤติกรรมการค้นหาที่เปลี่ยนไป

Voice Search ต่างจากการค้นหาด้วยการพิมพ์ที่มักใช้คีย์เวิร์ดสั้น ๆ อย่าง “ร้านอาหารญี่ปุ่น กรุงเทพ” เพราะการค้นหาด้วยเสียงมักมาในรูปแบบคำถาม เช่น “มีร้านอาหารญี่ปุ่นแนะนำแถวสุขุมวิทไหม?” นั่นหมายความว่า การทำ Voice Search SEO ต้องปรับรูปแบบเนื้อหาให้เหมือนกำลังพูดคุยกับผู้ใช้ ดังนี้

  • เพิ่มหัวข้อ Q&A หรือ FAQ ในแต่ละหน้า
  • ใช้ Long-tail Keywords ที่ใกล้เคียงภาษาพูดจริง
  • เขียนเนื้อหาให้อ่านง่าย เป็นธรรมชาติ และเป็นมิตร


โดยการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้ทั้งผู้ใช้งานและ Google เข้าใจเว็บไซต์ของคุณได้ดีขึ้น

3. การค้นหาแบบเจาะจงพื้นที่ (Local Search)

Local Search ค้นหาแบบเจาะจงพื้นที่

หนึ่งในจุดแข็งของ Google Voice Search คือความสามารถในการค้นหาแบบเฉพาะเจาะจงพื้นที่ (Local Search) เช่น คำค้นอย่าง “ร้านกาแฟใกล้ฉัน” หรือ “คลินิกเปิดวันอาทิตย์แถวนี้” ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริง และ Google จะนำข้อมูลจากแผนที่ รีวิว และเว็บไซต์ใกล้เคียงมาแสดงผลทันที ดังนั้นธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือให้บริการในพื้นที่ควรทำ Voice Search SEO เพื่อรองรับการค้นหาแบบ Local เช่น

  • ลงทะเบียนและอัปเดตข้อมูลใน Google Business Profile
  • ใส่คีย์เวิร์ดที่ระบุชื่อเขต หรือย่านในเนื้อหา
  • ใช้คำถามที่พบบ่อยในหน้าเว็บไซต์
  • แสดงเวลาเปิด–ปิด และช่องทางติดต่อให้ครบถ้วน


ทั้งหมดนี้ช่วยเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจของคุณถูกค้นพบจากคำสั่งเสียงได้ง่ายขึ้น และตรงจุดมากขึ้น

ปรับเว็บไซต์ให้พร้อมรับ Voice Search SEO ด้วย 5 ขั้นตอนง่าย ๆ

เมื่อผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมจากการพิมพ์มาเป็นการพูดกับ Google หรือผู้ช่วยเสียงต่าง ๆ การเตรียมเว็บไซต์ให้รองรับ Voice Search SEO จึงเป็นสิ่งที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะหากคุณต้องการให้ลูกค้าเจอคุณก่อนใครบนหน้าค้นหา และวันนี้ ADME Media ขอแนะนำ 5 ขั้นตอนง่าย ๆ ที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณพร้อมสำหรับยุคของการค้นหา
ด้วยเสียง

ผู้ใช้ Voice Search มักตั้งคำถามตรง ๆ เช่น “ร้านกาแฟเปิดถึงกี่โมง” หรือ “คลินิกทำฟันใกล้ฉันมีที่ไหนบ้าง” การเขียนเนื้อหาบนเว็บไซต์จึงควรตอบคำถามอย่างชัดเจน ใช้ประโยคกระชับ ไม่วกวน และเน้นให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ทันทีที่อ่าน เช่น ใส่คำตอบไว้ตอนต้นของบทความหรือย่อหน้าแรก

เพราะผู้ใช้งานไม่ได้พิมพ์คำแบบหุ่นยนต์ แต่พูดแบบคนจริง ๆ การใช้ภาษาเขียนที่ฟังดูเป็นธรรมชาติและเข้าใจง่าย จะทำให้เนื้อหาใกล้เคียงกับคำค้นหาของผู้ใช้มากขึ้น เช่น จาก “บริการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก” อาจใช้ “เราช่วยวิเคราะห์ข้อมูลให้ธุรกิจเข้าใจลูกค้าได้มากขึ้น”Drop down

Voice Search มักมาในรูปแบบประโยคยาวหรือคำถามเฉพาะ เช่น “จะเริ่มต้นทำการตลาดออนไลน์ต้องรู้อะไรบ้าง” ดังนั้นการเลือกใช้ Long-tail Keywords เช่น “กลยุทธ์การตลาดสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก” แทนคำทั่วไป จะช่วยเพิ่มโอกาสในการแสดงผลบน Google Voice Search ได้ดีกว่าการใช้คำกว้าง ๆ

การจัดทำหน้าคำถามที่พบบ่อย (FAQ) ช่วยตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้ใช้การค้นหาด้วยเสียงอย่างตรงจุด เช่น “ใช้บริการของ ADME ต้องเตรียมข้อมูลอะไรบ้าง?”
หรือ “บริการรับทำ SEO ติดหน้าแรกใช้เวลากี่วันเห็นผล?”

การตอบคำถามด้วยภาษาที่เป็นกันเองและมีโครงสร้างที่ชัดเจน ยังช่วยให้เว็บไซต์ติด Featured Snippet บน Google ได้อีกด้วย

ผู้ใช้ Voice Search ส่วนใหญ่มาจากมือถือหรืออุปกรณ์สมาร์ตโฟน เว็บไซต์จึงควรแสดงผลได้ดีในทุกขนาดหน้าจอ โหลดเร็ว และไม่มีปัญหาเวลาเข้าจากมือถือ
เพราะ Google ให้ความสำคัญกับ Page Speed และ Mobile Experience เป็นพิเศษ ยิ่งเว็บไซต์ของคุณตอบโจทย์การใช้งานบนมือถือมากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสติดอันดับผลการค้นหาด้วยเสียงมากขึ้นเท่านั้น

ส่องเทรนด์ Voice Search SEO 2025 ธุรกิจต้องปรับตัวยังไงให้ทันเกม?

เทรนด์ Voice Search SEO 2025

ในปี 2025 การค้นหาด้วยเสียงหรือ Voice Search จะไม่ได้เป็นเพียงฟีเจอร์เสริมอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นช่องทางหลักที่ผู้บริโภคใช้สื่อสารและค้นหาข้อมูลบนโลกออนไลน์ ส่งผลให้การทำ Voice Search SEO กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ธุรกิจทุกขนาดต้องให้ความสนใจและเตรียมพร้อมรับมืออย่างจริงจัง

จากสถิติพบว่าคนส่วนใหญ่มักมีลำโพงอัจฉริยะมากกว่าหนึ่งเครื่อง เพราะเมื่อได้ลองใช้งานครั้งแรกแล้วมักเห็นประโยชน์และตัดสินใจซื้อเพิ่ม ส่งผลให้พฤติกรรมการค้นหาด้วยเสียงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มที่รองรับ Google Voice Search

หากเว็บไซต์ของคุณยังไม่พร้อมสำหรับ Google ค้นหาด้วยเสียง อาจพลาดโอกาสดึงดูดผู้ใช้งานกลุ่มสำคัญ ธุรกิจจึงควรเร่งปรับกลยุทธ์เนื้อหาให้รองรับการค้นหาด้วยเสียงในทุกช่องทางเพื่อไม่ให้ตกขบวนเทรนด์นี้

Apple เปิดตัวฟีเจอร์ AI ใหม่ในชื่อ Apple Intelligence ซึ่งยกระดับ Siri ให้ตอบสนองเป็นธรรมชาติมากขึ้น เข้าใจบริบทของผู้ใช้ได้ดีขึ้น และทำงานร่วมกับหลายแอปพร้อมกันได้อย่างลื่นไหล ช่วยให้การสั่งงานด้วยเสียงสะดวกยิ่งขึ้น แม้ผู้ใช้จะไม่ชำนาญเรื่องฟีเจอร์หรือการตั้งค่า

ขณะเดียวกันฝั่ง Android ก็พัฒนา Android System Intelligence เพื่อยกระดับประสบการณ์ใช้งานเช่นกัน การอัปเกรด AI ทั้งสองระบบนี้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันการใช้งานการค้นหาด้วยเสียงให้แพร่หลายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ความไว้วางใจเป็นอุปสรรคใหญ่ในการใช้งานการค้นหาด้วยเสียง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีสูง และกลุ่มที่กังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว

ผู้ผลิตจึงต้องแก้ไขปัญหานี้ด้วยการอัปเดตระบบและสื่อสารถึงมาตรการความปลอดภัย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้

แม้ Alexa จะเป็นที่รู้จักมาก แต่ฟีเจอร์การค้นหาด้วยเสียงถูกนำไปใช้ในแอปและอุปกรณ์หลากหลายชนิด ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จึงสามารถเรียนรู้พฤติกรรมผู้ใช้ได้ดีขึ้น

ดังนั้น การเตรียมเนื้อหาให้รองรับทุกอุปกรณ์จึงสำคัญ เช่น ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ใส่คำถาม-คำตอบในเนื้อหา และจัดเรียงข้อมูลเป็นรายการ เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายผ่านเสียง
ทุกช่องทาง

เนื้อหาคือหัวใจของการตลาดดิจิทัล โดยเฉพาะในการค้นหาด้วยเสียงที่ผู้ใช้มักพูดคำค้นหาแบบเจาะจง นักการตลาดจึงควรใส่คำเหล่านี้ลงในเนื้อหาอย่างเป็นธรรมชาติ
พร้อมออกแบบโฆษณาให้เหมาะกับการฟังผ่านเสียงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึง

ลำโพงอัจฉริยะและสมาร์ตโฟนทำให้ผู้คนพึ่งพา Google ค้นหาด้วยเสียงตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้ลำโพงอัจฉริยะที่ใช้งานบ่อย เป็นโอกาสสำคัญที่ธุรกิจจะเข้าถึง
และสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังคงพัฒนาให้การค้นหาด้วยเสียงมีความแม่นยำมากขึ้น ทั้งในแง่การเข้าใจภาษาธรรมชาติ การจัดการงานที่ซับซ้อน
อย่างการเงินหรือสุขภาพ รวมถึงการเพิ่ม “บุคลิก” ให้ผู้ช่วยเสียงสามารถปรับตัวเข้ากับผู้ใช้ ช่วยยกระดับคุณภาพข้อมูลและประสบการณ์ Voice Search อย่างต่อเนื่อง

Google Voice Search เริ่มเป็นที่รู้จักในทุกกลุ่มวัย โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ซึ่งจะทำให้ผู้สูงอายุเริ่มคุ้นเคยและใช้งานมากขึ้น

ในขณะที่วัยทำงานและวัยกลางคนยังเป็นกลุ่มที่ใช้เสียงค้นหามากที่สุด ธุรกิจที่เน้นกลุ่มนี้จะได้ประโยชน์สูงสุดจากการปรับเนื้อหาให้รองรับ Voice Search

ผู้คนมักใช้เสียงในการค้นหาข้อมูลสินค้าและตัดสินใจซื้อของใหม่ ๆ บริษัทจึงควรเตรียมเนื้อหาที่ตอบคำถามในรูปแบบสนทนาให้พร้อมทั้งบนเว็บไซต์และแพลตฟอร์มอื่น ๆ เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมการค้นหาด้วยเสียง เช่น การตอบคำถามอย่าง “ควรเตรียมอะไรไปตั้งแคมป์”

การทำ SEO แบบเน้นการค้นหาในพื้นที่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจท้องถิ่น เพราะผู้ใช้ลำโพงอัจฉริยะมักค้นหาบริการหรือร้านค้าใกล้ตัว หากไม่โฟกัสกลุ่มนี้ อาจพลาดโอกาสในการดึงดูดลูกค้าใกล้บ้านไปอย่างน่าเสียดาย

จากข้อมูลข้างต้น การทำ Voice Search SEO เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจที่ต้องการความได้เปรียบในการแข่งขันยุคดิจิทัล เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคใช้ Google ค้นหาด้วยเสียงผ่านสมาร์ตโฟนและลำโพงอัจฉริยะ เว็บไซต์ที่ไม่รองรับ Google Voice Search หรือการค้นหาด้วยเสียง จะพลาดโอกาสเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ หากธุรกิจยังไม่ปรับตัว ควรเริ่มวันนี้ เพราะโลกของ Voice Search กำลังเติบโต และผู้ที่เริ่มก่อนย่อมได้เปรียบ หากต้องการคำปรึกษาและบริการวางกลยุทธ์ Voice Search SEO ติดต่อ ADME บริษัทรับทำการตลาดออนไลน์ ที่พร้อมช่วยให้ธุรกิจของคุณก้าวทันเทรนด์และเติบโตอย่างมั่นคง

ติดต่อ ADME เพื่อวางกลยุทธ์ Voice Search SEO
ให้ธุรกิจของคุณก้าวทันเทรนด์ดิจิทัล